10 อันดับเทรนด์ฟิตเนสของโลกปี 2016
สวัสดีครับ ขอนำเพื่อนๆ เข้าสู่บทความแรกแห่งปี 2016 ในหัวเรื่องฟิตเนสครับ
ไม่พูดพร่ำทำเพลงผมขอเข้าประเด็นเลยละกันครับ ACSM ย่อมาจาก American
College of Sports Medicine
เป็นสถาบันที่มีบทบาทสำคัญอันดับต้นๆของโลกในเรื่อง เวชศาสตร์การกีฬา
(Sports Medicine) และมีสมาชิกที่เป็นผู้ฝึกสอนกว่า 50,000 คนทั่วโลก
คือพูดให้ง่ายๆก็คล้ายๆกับ NASA ของวงการเวชศาสตร์การกีฬาละกันนะครับ
สาเหตุที่ผมยกบทความนี้มาพูดเพราะ เป็นบทความที่มาจากผลสำรวจจริงๆอย่างเป็นทางการจากมืออาชีพสายฟิตเนสกว่า 2,800 คน สำหรับปีนี้เทรนด์ที่มาแรงจนแซง HIIT (High Intensity Interval Training) อันดับหนึ่งของปี 2015 ไปได้น่าสนใจมากครับ และผมว่าก็อาจจะตรงกับพฤตกรรมของเพื่อนๆหลายๆคนด้วย ว่าแล้วก็เริ่มกันเลยครับ (บางคำผมจะขออณุญาติใช้เป็นภาษาอังกฤษเลยนะครับ)
1. Wearable Technology: เทคโนโลยีแบบสวมใส่ ไม่ว่าจะเป็น fitness trackers, smart watches, heart rate monitors หรือ GPS tracking สำหรับนักวิ่งอันนี้โดนเต็มๆใช่มั้ยครับ ส่วนนักปั่นนิ โอ้วววว ไม่ต้องพูดถึง 55
2. Body Weight Training: วิดพื้น สคอวท แพลงค์ ดึงข้อ และอื่นๆ ถ้าเพื่อนๆเป็นแบบฟิตเนสเซ็นเตอร์ไม่มีโอกาศกินตังค์ แต่ยังฟิตเปรี๊ยะแบบไม่พึ่งอุปกรณ์หนักๆ พวกท่านถือว่าอินเทรด์ครับ แต่ในยุคนึงก่อนหน้านี้พวกท่านจะถูกตราหน้าว่าเป็นพวกโบราณและเอาท์เทรด์นะ ครับ(อิอิ) สูงสุดและกลับสู้สามัญครับตามนั้นเลย
3. High-Intensity Interval Training (HIIT): เป็นเทรนด์ที่ร่วงมาจากอันดับหนึ่งปี 2015 ครับ คนประเภทเวลาน้อยแต่ชอบจัดหนัก แบบ 30 นาทีแล้วคลานกลับบ้านไรงี้ โดยส่วนตัวผมว่าแนวนี้จะปลอดภัยสำหรับคนที่ฝึกมาแล้วซักระยะหนึ่งครับ หรือไม่ก็พวกพร้อมเสี่ยงอยากหักดิบแล้ววัดใจไปเลย
4. Strength Training. ไม่ได้หมายถึงการเล่นให้กล้ามใหญ่ๆนะครับ แต่หมายถึงการฝึกแบบเฉพาะเจาะจงเพื่อเสริมความแข็งแรงโดยมีจุดมุ่งหมายที่ ชัดเจนครับ วงการกีฬาในบางประเทศ เรามักจะเห็นโค๊ชกลุ่มนึงสอนเทคนิคโดยตรง และโค้ชอีกกลุ่มนึงฝึกความแข็งแรงอย่างเดียว โดยจะประสานโปรแกรมฝึกสอนให้ไปพร้อมๆกัน (แนวคิดอาจจะต่างจากบ้านเรา)
5. Educated and Experienced Fitness Professionals. พอมาอันดับที่ห้า บางคนอาจจะเริ่มเครียดแล้วฮะคือมีคำย่ออะไรโผล่มาอีกล่ะ?! เอาเป็นว่ามันคล้ายๆกับอณุปริญญาของวงการฟิตเนสละกันครับ มีเพื่อนคนไหนใช้วิธีตามหาบุคคลตัวอย่าง (role model) แล้วให้เค้าช่วยฝึกช่วยสอนบ้างครับ ? หรือเลือกครูฝึกคนนี้เพราะเทรน์สนุกอยู่ใก้ลแล้วสบายใจบ้างครับ ?(อันนี้สาวๆอาจมีสะอึกนิส...) ที่จริงก็ทำถูกแล้วละครับ..55 ถ้าไม่เลือกคนเก่งไม่เลือกคนอัฒยาสัยดี แล้วจะไปให้เลือกแมวที่ไหนจิงมั้ย ผมจะขอแค่เสริมว่าควรจะเป็นคนที่มีใบรับรองเพื่อเป็นครูฝึกด้วยนะครับ เพราะวิธีที่เวิรค์สำหรับคนนึง ไม่ได้หมายความว่าอีกคนทำตามแล้วจะได้ผลลัพธ์เหมือนกัน เพราะฉะนั้น องค์ความรู้ที่ลึกและกว้างจึงเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการฝึกสอนให้ได้ผลตาม ที่มุ่งหวังครับ
6. Personal Training. อันนี้ไม่แน่ใจว่าตรงกับบ้านเราแค่ไหนครับ แต่ทั่วโลกพบว่ามีนักเรียนในสาขากายภาพเพิ่มขึ้นๆอย่างต่อเนื่อง นั่นอาจจะหมายถึงการเติบโตของตลาดงานด้านการดูแลสุขภาพที่มากขึ้นๆ ทำไห้ผู้ประกอบการก็มองหาบุคคลากรที่มีความชำนาญม่ร่วมทีม เพื่อเพิ่มการแข่งขัน และเพิ่มโอกาศทางธุรกิจ สำหรับบ้านเราเหล่าครูฝึกจะค่อนข้างนิยมติดอาวุธด้านวิชาการโดยอิงหลักสูตร ACE (American Council on Exercise) เพราะเป็นหลักสูตรแรกๆที่มีการเปิดโรงเรียนสอนในไทย แต่ในอนาคตอันไก้ลผมเชื่อว่าจะมีหลักสูตรอื่นๆเข้ามาเพิ่มความหลากหลายครับ
7. Functional Fitness. “ฟังค์ชันนอล เทรนนิ่ง” เป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการฟิตเนส ผู้ประกอบการหลายรายก็นำไปใช้เป็นจุดขายจริงๆแล้วมันคืออะไรเอ่ย..... แปลตามตัวคือการฝึกแบบเน้นการใช้จริง (function) ในชีวิตจริงเราอาจไม่จำเป็นต้องมีกล้ามสวยๆแบบนายแบบ หรือผอมเพรียวแบบดารา จริงมั้ยครับ ? ความคล่องตัว, ทักษะการเคลื่อนไหว, ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ, ความสมดุลของร่างกาย คือสิ่งที่ถูกใช้งานมากที่สุดในชีวิตจริง และเรื่องเหล่านี้เป็นหัวใจของฟังค์ชันนอลเทรนนิ่ง (คนละเรื่องกับการรวมกลุ่ม ใช้อุปกรณ์เหวี่ยงไปๆมาๆ ขอรับ)
8. Fitness Programs for Older Adults. ไม่น่าแปลใจครับ เพราะประชากรส่วนใหญ่ของโลกเราตอนนี้คือกลุ่มผู้สูงอายุครับ เพียงแต่ว่าพฤตกรรมของผู้สูงอายุจะค่อนข้างแตกต่างกันในแต่ละประเทศตาม วัฒนธรรม บางวัฒนธรรมเชื่อว่า แก่แล้วต้องอยู่เงียบๆดูแลลูกหลานระวังโน่นนี้สารพัด ในขณะที่บางวัฒนธรรมเชื่อว่าคนแก่ก็ยังแอคทีฟได้ถ้ารู้จักดูแลตัวเองแต่ เนิ่นๆไม่ใช่รอหมอรักษาตามโรคอย่างเดียว แล้วเพื่อนๆละครับเลือกจะสร้างวัฒนธรรมแบบใหนเพื่อตัวเอง ? ^^
9. Exercise and Weight Loss.
ลดน้ำหนักคือเหตุผลหลักที่คนสมัครเป็นสมาชิกฟิตเนสเซ็นเตอร์ครับ และผมเชื่อว่าเทรนด์นี้จะยังคงอยู่ต่อไปอีกชั่วกาลปวสาน เหตุผลหลักๆคือกระแสการบริโภคนิยมประเภทเพิ่ม10บาทปรับเป็นเซ็ตจัมโบ้สุด คุ้มไรงี้(คุ้นๆมั้ย) ที่ดูขัดแย้งกับกระแสเซลฟี่นิยมที่ทุกคนอยากดูดีหมือนเน็ตไอดอล ส่วนตัวผมเชื่อว่าตลาดลดความอ้วนส่วนใหญ่ในบ้านเราตกไปอยู่กับพวกอาหารเสริม และทรีทเมนต์ประเภทลดสัดส่วนเฉพาะจุด (แขน/เอว/คอ)
10. Yoga.
การออกกำลังกายอย่างได้ผล ไม่จำเป็นว่าต้องดูดุเดือดเสมอไป การใช้ความสงบสร้างสมาธิควบคุมร่างกาย กำหนดลมหายใจ ทั้งหมดนี้คือเทคนิคฟังดูง่ายแต่ทำยาก ซึ่งถ้าใครเริ่มฝึกแล้วก็จะพบว่ามันมีความท้าทายไม่แพ้การฝึกเพื่อวิ่ง มาราธอนเลยทีเดียว และนักวิ่งระดับอีลิทส่วนใหญ่ก็ใช้โยคะสร้างสมาธิและความยืดหยุ่นเพื่อเพิ่ม ความเร็วด้วยครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.acsm.org ผ่าน TeamBeyond
สาเหตุที่ผมยกบทความนี้มาพูดเพราะ เป็นบทความที่มาจากผลสำรวจจริงๆอย่างเป็นทางการจากมืออาชีพสายฟิตเนสกว่า 2,800 คน สำหรับปีนี้เทรนด์ที่มาแรงจนแซง HIIT (High Intensity Interval Training) อันดับหนึ่งของปี 2015 ไปได้น่าสนใจมากครับ และผมว่าก็อาจจะตรงกับพฤตกรรมของเพื่อนๆหลายๆคนด้วย ว่าแล้วก็เริ่มกันเลยครับ (บางคำผมจะขออณุญาติใช้เป็นภาษาอังกฤษเลยนะครับ)
1. Wearable Technology: เทคโนโลยีแบบสวมใส่ ไม่ว่าจะเป็น fitness trackers, smart watches, heart rate monitors หรือ GPS tracking สำหรับนักวิ่งอันนี้โดนเต็มๆใช่มั้ยครับ ส่วนนักปั่นนิ โอ้วววว ไม่ต้องพูดถึง 55
2. Body Weight Training: วิดพื้น สคอวท แพลงค์ ดึงข้อ และอื่นๆ ถ้าเพื่อนๆเป็นแบบฟิตเนสเซ็นเตอร์ไม่มีโอกาศกินตังค์ แต่ยังฟิตเปรี๊ยะแบบไม่พึ่งอุปกรณ์หนักๆ พวกท่านถือว่าอินเทรด์ครับ แต่ในยุคนึงก่อนหน้านี้พวกท่านจะถูกตราหน้าว่าเป็นพวกโบราณและเอาท์เทรด์นะ ครับ(อิอิ) สูงสุดและกลับสู้สามัญครับตามนั้นเลย
3. High-Intensity Interval Training (HIIT): เป็นเทรนด์ที่ร่วงมาจากอันดับหนึ่งปี 2015 ครับ คนประเภทเวลาน้อยแต่ชอบจัดหนัก แบบ 30 นาทีแล้วคลานกลับบ้านไรงี้ โดยส่วนตัวผมว่าแนวนี้จะปลอดภัยสำหรับคนที่ฝึกมาแล้วซักระยะหนึ่งครับ หรือไม่ก็พวกพร้อมเสี่ยงอยากหักดิบแล้ววัดใจไปเลย
4. Strength Training. ไม่ได้หมายถึงการเล่นให้กล้ามใหญ่ๆนะครับ แต่หมายถึงการฝึกแบบเฉพาะเจาะจงเพื่อเสริมความแข็งแรงโดยมีจุดมุ่งหมายที่ ชัดเจนครับ วงการกีฬาในบางประเทศ เรามักจะเห็นโค๊ชกลุ่มนึงสอนเทคนิคโดยตรง และโค้ชอีกกลุ่มนึงฝึกความแข็งแรงอย่างเดียว โดยจะประสานโปรแกรมฝึกสอนให้ไปพร้อมๆกัน (แนวคิดอาจจะต่างจากบ้านเรา)
5. Educated and Experienced Fitness Professionals. พอมาอันดับที่ห้า บางคนอาจจะเริ่มเครียดแล้วฮะคือมีคำย่ออะไรโผล่มาอีกล่ะ?! เอาเป็นว่ามันคล้ายๆกับอณุปริญญาของวงการฟิตเนสละกันครับ มีเพื่อนคนไหนใช้วิธีตามหาบุคคลตัวอย่าง (role model) แล้วให้เค้าช่วยฝึกช่วยสอนบ้างครับ ? หรือเลือกครูฝึกคนนี้เพราะเทรน์สนุกอยู่ใก้ลแล้วสบายใจบ้างครับ ?(อันนี้สาวๆอาจมีสะอึกนิส...) ที่จริงก็ทำถูกแล้วละครับ..55 ถ้าไม่เลือกคนเก่งไม่เลือกคนอัฒยาสัยดี แล้วจะไปให้เลือกแมวที่ไหนจิงมั้ย ผมจะขอแค่เสริมว่าควรจะเป็นคนที่มีใบรับรองเพื่อเป็นครูฝึกด้วยนะครับ เพราะวิธีที่เวิรค์สำหรับคนนึง ไม่ได้หมายความว่าอีกคนทำตามแล้วจะได้ผลลัพธ์เหมือนกัน เพราะฉะนั้น องค์ความรู้ที่ลึกและกว้างจึงเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการฝึกสอนให้ได้ผลตาม ที่มุ่งหวังครับ
6. Personal Training. อันนี้ไม่แน่ใจว่าตรงกับบ้านเราแค่ไหนครับ แต่ทั่วโลกพบว่ามีนักเรียนในสาขากายภาพเพิ่มขึ้นๆอย่างต่อเนื่อง นั่นอาจจะหมายถึงการเติบโตของตลาดงานด้านการดูแลสุขภาพที่มากขึ้นๆ ทำไห้ผู้ประกอบการก็มองหาบุคคลากรที่มีความชำนาญม่ร่วมทีม เพื่อเพิ่มการแข่งขัน และเพิ่มโอกาศทางธุรกิจ สำหรับบ้านเราเหล่าครูฝึกจะค่อนข้างนิยมติดอาวุธด้านวิชาการโดยอิงหลักสูตร ACE (American Council on Exercise) เพราะเป็นหลักสูตรแรกๆที่มีการเปิดโรงเรียนสอนในไทย แต่ในอนาคตอันไก้ลผมเชื่อว่าจะมีหลักสูตรอื่นๆเข้ามาเพิ่มความหลากหลายครับ
7. Functional Fitness. “ฟังค์ชันนอล เทรนนิ่ง” เป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการฟิตเนส ผู้ประกอบการหลายรายก็นำไปใช้เป็นจุดขายจริงๆแล้วมันคืออะไรเอ่ย..... แปลตามตัวคือการฝึกแบบเน้นการใช้จริง (function) ในชีวิตจริงเราอาจไม่จำเป็นต้องมีกล้ามสวยๆแบบนายแบบ หรือผอมเพรียวแบบดารา จริงมั้ยครับ ? ความคล่องตัว, ทักษะการเคลื่อนไหว, ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ, ความสมดุลของร่างกาย คือสิ่งที่ถูกใช้งานมากที่สุดในชีวิตจริง และเรื่องเหล่านี้เป็นหัวใจของฟังค์ชันนอลเทรนนิ่ง (คนละเรื่องกับการรวมกลุ่ม ใช้อุปกรณ์เหวี่ยงไปๆมาๆ ขอรับ)
8. Fitness Programs for Older Adults. ไม่น่าแปลใจครับ เพราะประชากรส่วนใหญ่ของโลกเราตอนนี้คือกลุ่มผู้สูงอายุครับ เพียงแต่ว่าพฤตกรรมของผู้สูงอายุจะค่อนข้างแตกต่างกันในแต่ละประเทศตาม วัฒนธรรม บางวัฒนธรรมเชื่อว่า แก่แล้วต้องอยู่เงียบๆดูแลลูกหลานระวังโน่นนี้สารพัด ในขณะที่บางวัฒนธรรมเชื่อว่าคนแก่ก็ยังแอคทีฟได้ถ้ารู้จักดูแลตัวเองแต่ เนิ่นๆไม่ใช่รอหมอรักษาตามโรคอย่างเดียว แล้วเพื่อนๆละครับเลือกจะสร้างวัฒนธรรมแบบใหนเพื่อตัวเอง ? ^^
9. Exercise and Weight Loss.
ลดน้ำหนักคือเหตุผลหลักที่คนสมัครเป็นสมาชิกฟิตเนสเซ็นเตอร์ครับ และผมเชื่อว่าเทรนด์นี้จะยังคงอยู่ต่อไปอีกชั่วกาลปวสาน เหตุผลหลักๆคือกระแสการบริโภคนิยมประเภทเพิ่ม10บาทปรับเป็นเซ็ตจัมโบ้สุด คุ้มไรงี้(คุ้นๆมั้ย) ที่ดูขัดแย้งกับกระแสเซลฟี่นิยมที่ทุกคนอยากดูดีหมือนเน็ตไอดอล ส่วนตัวผมเชื่อว่าตลาดลดความอ้วนส่วนใหญ่ในบ้านเราตกไปอยู่กับพวกอาหารเสริม และทรีทเมนต์ประเภทลดสัดส่วนเฉพาะจุด (แขน/เอว/คอ)
10. Yoga.
การออกกำลังกายอย่างได้ผล ไม่จำเป็นว่าต้องดูดุเดือดเสมอไป การใช้ความสงบสร้างสมาธิควบคุมร่างกาย กำหนดลมหายใจ ทั้งหมดนี้คือเทคนิคฟังดูง่ายแต่ทำยาก ซึ่งถ้าใครเริ่มฝึกแล้วก็จะพบว่ามันมีความท้าทายไม่แพ้การฝึกเพื่อวิ่ง มาราธอนเลยทีเดียว และนักวิ่งระดับอีลิทส่วนใหญ่ก็ใช้โยคะสร้างสมาธิและความยืดหยุ่นเพื่อเพิ่ม ความเร็วด้วยครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.acsm.org ผ่าน TeamBeyond
ไม่มีความคิดเห็น: